วันอาทิตย์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

การสร้าง function ใน PHP


การสร้าง function ใน PHP


ในการเขียน code ที่เหมือนกัน ทำงานซ้ำกัน  ตั้งแต่ 2 ครั้งขึ้นไป เท่านั้นก็พอแล้ว ที่เราจะแยกการทำงานนั้นให้เป็น function ครับ ยกตัวอย่างเช่น เว็บของเราเป็นเว็บขายสินค้า ซึ่งจะมีการคำนวณ ราคารวม อยู่บ่อยๆ หากท่าน จะคำนวณที ก็ต้องเขียนโปรแกรมคำนวณขึ้นในหน้านั้น แล้วถ้าหาก เรามีการคำนวณ ในหน้าอื่นด้วย เราก็ต้อง copy การคำนวณนั้น ไปที่หน้านั้นด้วย ซึ่งจะทำให้เกิดการซ้ำซ้อนของ code และปัญหาที่จะตามมาคือ เมื่อเรามีการเปลี่ยนแปลงกำหนดนวณใหม่ เราก็ต้องไปไล่ๆแก้การคำนวณในหน้าอื่นๆที่ใช้การคำนวณแบบเดียวกันด้วย....  แต่ปัญหานั้นจะหมดไป หากเราใช้การสร้าง function เก็บไว้ อีกไฟล์ แยกกันไว้ และเมื่อเราจะใช้ เราก็แค่ include เข้ามาแค่นั้นเอง ซึ่ง ถ้าการคำนวรมีการเปลี่ยนแปลง เราก็สามารถ แก้ function ที่เราสร้างขึ้น เพียงแค่ function เดียว เท่านั้นเองครับ สำหรับการเขียน function  ใน PHP นั้น เขียนได้ง่ายๆดังนี้ครับ
funtion ชื่อของฟังชัน(ตัวแปรที่จะนำมาใช้ในฟังชัน)
 { 
     ........ 
 }
function cal_price($price,$num)
 { 
  $total = $price * $num //คำนวณ
  return $total; // ส่งค่ากลับไปยังตัวแปรที่เรียกใช้ฟังชัน 
 } 

$price = 500; //กำหนดราคา
$num = 5; // กำหนดจำนวน
$total = cal_price($price,$num);//เรียกใช้ฟังชัน cal_price
echo "ราคา = $total";

วันเสาร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

วิธีไรท์ cd ให้เกิน 700 MB




ใช้ Nero  เปิด Options > Expert Features > ไปติ๊ก * Enable generation of short lead-out > OK 
เสร็จแล้ว ง่ายจริงๆ
แต่ เวลาตอนเราจะไรท์ เราต้องใช้ Mode Disc-at-once นะครับแล้วเราก็จะสามารถไรท์เพิ่มได้อีก 12 mb
โดยไม่ต้องOver burnให้เสี่ยงเพราะส่วนมากข้อมูลคงเกินมากันคนล่ะไม่เท่าไหร่
บางคนสงสัย แล้วDisc-at-onceเลือกยังไง
ใน หน้าที่เราจะเลือกความเร็วในการไรท์นะครับ ให้ติ๊กเอา*multisession discออกแล้วก็ไปเปลี่ยนตรง 
Write Method จาก Track-at-onceเป็น Disc-at-onceแล้วก็สั่ง write ได้เลยครับ
ข้อระวัง:เนื่องจากเป็นการไรท์แบบDisc-at-onceดังนั้นแผ่นที่ไรท์แบบนี้จะไม่สามารถนำมาเขียนเพิ่มได้
อีกเพราะแผ่นจะโดนปิดsesstionทันทีก็คือต้องไรท์ให้เสร็จภาพในครั้งแรกและครั้งเดียวเท่ านั้น
ข้อพึงระวังอีกนิดก็คือ Driveเก่าๆ บางรุ่นอาจอ่านแผ่นแบบนี้ไม่ได้ครับ แต่น้อยมาก ที่ผ่านมาผมใช้ได้หมด
แต่ สุดท้ายหากข้อมูลเกินมาเยอะๆแต่ต้องการลงแผ่นเดีย วก็ไม่มีทางเลือกต้องซื้อแผ่นแบบเกิน700 มาOver burnเอาล่ะครับ
ไม่แนะนำให้Overburnจากแผ่น700 ธรรมดา เพราะถึงแม้ว่าแผ่น Princo จะสามารถOverburnได้ประมาณ 20 กว่าMB
แต่เราก็จะต้องเสี่ยงกับการอ่านข้อมูลไม่ได้สูงมากคร ับและแผ่นแต่ล่ะยี่ห้อก็สามารถOver burnได้มากน้อยต่างกันนะครับ
มันจะไม่ได้บอกไว้หรอก เราต้องใช้โปรแกรมทดสอบดูก่อนวันหลังผมจะมาสอนวิธีทดสอบว่าแต่ล่ะยี่ห้อแต่ล่ะแผ่น
สามารถOverburnได้มากน้อยเท่าไหร่ครับ

การคำนวณค่าด้วย PHP


การคำนวณค่าและแสดงผล

การคำนวณในบทนี้จะเป็นตัวอย่างและวิธีการตั้งค่าอย่างง่ายๆ เพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจนะครับ เช่น การ บวก ลบ คูณ หาร เป็นต้น
ก่อนอื่น เรามารู้จักกับ "ตัวแปร" กันก่อนนะครับ

ในการเขียนโปรแกรมย่อยในเว็บของเรานั้น เราคงหนีไม่พ้นการคำนวณค่าต่างๆ เช่น น้ำหนักรวม เงินรวม จำนวนวัน อายุเฉลี่ย คำนวณเปอเซ็น หรือการคำนวณทางคณิตร์ศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ฯลฯ ซึ่งในการคำนวณค่าด้วย PHP ก็ไม่ต้องมีหลักการในการกำหนดอะไรมากหมายเหมือนภาษาอื่นๆ เช่น $a = 1; $b = 2; $c = 0; $y = "Yes"; $n = "No"; เท่านี้ก็เป็นการกำหนดตัวแปร และ ค่าของตัวแปรแล้ว ภาษา PHP จะใช้ "$" เป็นตัวกำหนดตัวแปรต่างๆได้เลยนะครับ โดย ตัวแปรจะแบ่งเป็น 2 ชนิดหลักๆที่สำคัญ ก็คือ Numberic(ตัวเลข) กับ String(ตัวอักขระ ตัวอักษร) การกำหนดตัวแปรที่เป็นตัวเลขเช่น $a = 1; $b = 1; ถ้าเป็นตัวอักษร ก็จะใช้ $y = "Yes"; $n = "No"; ครับ

ต่อมา รู้จักกับ Operator ใน PHP Operator ก็คือ ตัวดำเนินการกับตัวแปรอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้

  • การบวก(+)
  • การลบ(-)
  • คูณ(*)
  • หาร(/)
  • Mod(%) << หารเอาเศษ


เอาละครับ ต่อไปจะเป็นตัวอย่างการเขียนโปรแกรม คำนวณค่า 2 ค่า โดยใช้ Dreamweaver CS3 นะครับ เริ่มต้นกับการเปิดโปรแกรม Dreamweaver Cs3 ขึ้นมากันเลยครับ
  • ขันแรก สร้าง form และ textbox เพื่อรับค่าจาก webpage และบันทึกไ้ว้ที่ XXX:\Apserv\www\lesson2\test.php ดังตัวอย่าง รูป ที่ 1


    รูปที่ 1 ตัวอย่างแสดงการสร้าง form เพื่อสร้างโปรแกรมการคำนวณ

     <form id="form1" name="form1" method="post" action="test.php">
    A
    <input type="text" name="A" id="A" />
    B
    <input type="text" name="B" id="B" />
    <input type="submit" name="submit" id="submit" value="คำนวณค่า A B" />
    </form>

จาก รูปที่ 1 ตัวอย่างแสดงการสร้าง form บรรทัดที่ 9 คือการกำหนด form ชื่อ "form1" กำหนด action ไปที่ไฟล์ test.php
จาก รูปที่ 1 ตัวอย่างแสดงการสร้าง form บรรทัดที่ 11 คือการสร้าง textbox เพื่อรับค่าจาก keyboard เก็บไว้ในตัวแปร "A"
จาก รูปที่ 1 ตัวอย่างแสดงการสร้าง form บรรทัดที่ 13 คือการสร้าง textbox เพื่อรับค่าจาก keyboard เก็บไว้ในตัวแปร "B"
จาก รูปที่ 1 ตัวอย่างแสดงการสร้าง form บรรทัดที่ 14 คือการสร้างปุ่ม submit เพื่อส่งค่าตามกำหนดในบรรทัดที่ 9
จาก รูปที่ 1 ตัวอย่างแสดงการสร้าง form บรรทัดที่ 17คือการกำหนดจุดสิ้นสุดของ form1 ที่กำหนดในบรรทัดที่ 9

เมื่อสร้าง form เพื่อกรอกค่าเสร็จขั้นต่อไปคือการรับข้อมูลจาก form1 มาคำนวณโดยใช้ PHP ตัวอย่างดังรูป ที่ 2

รูปที่ 2 ตัวอย่างแสดงการคำนวณค่าจากตัวแปร A และ B

 <?
$A = $_POST['A'];
$B = $_POST['B'];
if($A != "" and $B != "")
{
$Positive = $A + $B;
$minus = $A - $B;
$multiply = $A * $B;
$divide = $A / $B;
$mod = $A%$B;
echo"A + B = $Positive<br />";
echo"A - B = $minus<br />";
echo"A * B = $multiply<br />";
echo"A / B = $divide<br />";
echo"A % B = $mod<br />";
}
?>

เมื่อทำการขั้นตอนเรียบร้อยแล้วก็ลอง กรอก ข้อมูล A และ B แล้วกดปุ่ม "คำนวณค่า A B"

รูปที่ 3 ภาพแสดงผลเมื่อเข้าไปที่ localhost/lesson2/test.php เมื่อ A = 10 B = 7


จากรูปที่ 2 ตัวอย่างแสดงการคำนวณค่าจากตัวแปร A และ B
บรรทัดที่ 8 และ 25 คือ การเปิด และ ปิดการใช้คำสั่งของภาษา PHP
บรรทัดที่ 9 และ 10 คือการตั้งตัวแปร $A และ ตัวแปร $B เพื่อรับค่าที่ส่งมาจาก form1 ซึ่งถูกกำหนดให้มี 2 ค่า คือ A และ B
บรรทัดที่ 11 คือการสร้างเงื่อนไขตรวจสอบค่า A และ B if($A != "" and $B != "") มีความหมายตามเงื่อนไขว่า ถ้าตัวแปร A ไม่เท่ากับ ค่าว่าง และ ถ้าตัวแปร B ไม่เท่ากับ ค่าว่าง
บรรทัดที่ 12 และ 23 คือขอบเขตของเหตุการณ์ตามเงื่อนไขของบรรทัดที่ 11
บรรทัดที่ 13 $Positive = $A + $B; คือการสร้างตัวแปรที่มีชื่อว่า $Positive และกำหนดให้มีค่าเท่ากับ $A + $B ดังตัวอย่างรูปที่ 3 เมื่อ กำหนดให้ A มีค่าเท่ากับ 10 และ B มีค่าเท่ากับ 7 ดังนั้น ค่า $Positive จะมีค่าเท่ากับ 17 ครับ
บรรทัดที่ 14 $minus = $A - $B; ความหมายเหมือนกับการอธิบายในบรรทัดที่ 13 เพียงแต่ นำแค่า A มาลบกับ B และเก็บค่าไว้ให้ตัวแปร $minus
บรรทัดที่ 15 $multiply = $A * $B; ความหมายเหมือนกับการอธิบายในบรรทัดที่ 13 เพียงแต่ นำแค่า A มาคูณกับ B และเก็บค่าไว้ให้ตัวแปร $multiply
บรรทัดที่ 16 $divide = $A / $B; ความหมายเหมือนกับการอธิบายในบรรทัดที่ 13 เพียงแต่ นำแค่า A มาหารกับ B และเก็บค่าไว้ให้ตัวแปร $divide
บรรทัดที่ 17 $mod = $A%$B; ความหมายเหมือนกับการอธิบายในบรรทัดที่ 13 เพียงแต่ นำแค่า A มาหารเอาแต่เศษกับ B และเก็บค่าไว้ให้ตัวแปร $mod


ท่านสามารถดูคลิปวิดีโอการสอนของบทเรียนนี้ได้ คลิกที่นี่
Download(698)lesson2.rar

สาครินทร์ นุ้ยพ่วง :โพสต์

วันพุธที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

วิธีการคอนฟิก Endian Firewall ให้เล่นบิทได้


คุณอยู่ที่นี่

วิธีการคอนฟิก Endian Firewall ให้เล่นบิทได้

ในเมนูของ Endian ไปที่   Firewall --> Outgoing Traffic -->Add  a new firewall rule
ต้องการให้เครื่องไหนเล่นบิทก็เอา IP เครื่องนั้นใส่ ใน Source ตามรูป

Destination <Red>
Service <Any>
Protocol <Any>
แล้วก็ Create Rule  แล้ว Apply  เป็นอันเสร็จบน Edian แต่ยังต้อง set ที่ Bittorrent Client ด้วย
เอาค่า Proxy Authentication ( Host, Port,Username, Password )ไปใส่ใน Bittorrent Client
ผมใช้ Vuze ใครใช้ตัวไหนก็หาช่องใส่เอาเองนะครับ ตรง Proxy Option 

วันอังคารที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

iFile เป็นเครื่องมือ File Manger


    iFile เป็นเครื่องมือ File Manger หรือเครื่องมือการจัดการไฟล์สำหรับ Apple iOs iPhone หรือ iPad หรือจะให้เข้าใจง่ายๆ มันก็เหมือนกับการใช้งาน Windows Explorer Browser ในการเข้าถึงไฟล์ หรือแอพพลิเคชั่น เพื่ออ่าน, เขียน, โอนถ่าย, โยกย้าย, ลบ ไฟล์นั่นเองเนื่องจาก Apple iOs ไม่สามารถทำอย่างที่พูดนี้ได้เลย เรามาเรียนรู้การใช้งานและ รีวิว iFile ถึงฟังก์ชั่นต่าง และละเอียดๆ รู้ลึกรู้จริงกันครับ
 
 

iFile
File Manager : iTAllNews.com

 
- สามารถ Delete Copy Cut Paste File หรือสร้าง Floder ได้
- ค้าหาไฟล์ต่างๆที่อยู่ใน iPad iPhone ได้
- ส่ง File ผ่าน Wife และ Bluetooth ได้
- เลือก File และ Email ได้เลย 
- อ่านไฟล์ประเภท Zip / แตกไฟล์: zip, deb, rar, tar, tar.gz, tar.bz2, tar.Z, tgz, tbz2, gz, bz2, 7z
- Play File Movie : 3gp, mp4, mpv, m4v, mov 
- Open File Picture : gif, jpg, png, bmp, jpeg, tiff, tif
- อ่านไฟล์ เอกสาร : rtf, htm, pdf, html
- ไฟล์เสียง pcm, snd, wav, wma, aac, aiff, aif, aifc, m4a, m4r, mp2, mp3, mpga, amr, alac, caf
 
   Apple iOs สร้าง iDevice iPhone,iPad มาโดยที่ไม่ให้เราเข้าไปดู หรือจัดการไฟล์จากตัวเครื่องได้โดยตรง และก็ไม่ได้สร้าง Browser for iPhone หรือ iPad มาให้เลย แต่ให้เราจัดการไฟล์ผ่าน Email หรือ iTune เป็นต้น ดังนั้นiTAllNews.com จะมานำเสนอการใช้งาน iFile Browser iPhone iPad ที่จะทำหน้านี้เป็น File Manger Tools ให้กับเครื่อง iOs iPad iPhone สามารถค้นหาไฟล์ หรือจัดการโยกย้าย โอนถ่ายไฟล์ ภายในตัวเครื่องได้โดยตรง 

 

Review : iFile
Cydia APP Source: www.sinfuliphoneerepo.com

 STEP 1: โดยที่ก่อนอื่นทำการติดตั้ง iFile จาก Cydia Store โดยค้นหาจาก Source ดังกล่าวให้เรียบร้อยจากนั้นทำการเปิด iFile ขึ้นมาจะพบหน้าตาตามภาพ ตัวอย่างเป็นการใช้งานจาก iPad ซึ่ง iPhone ก็มีวิธีการทำงานเหมือนกัน โดยหน้าจอการทำงานจะแบ่งออกเป็นสองส่วนคือ Devices ที่จะแสดงส่วนการทำกงาน Shortcuts ที่มีการใช้งานบ่อยๆ และส่วนที่สองคือส่วนแสดงผลนั่นเอง

 STEP 2: โดเราเข้าไปใน Applications ดูจะพบว่ามีรายชื่อแอพพลิเคชั่นทั้งหมดในเครื่องเราแสดงออกมาให้ให้ แต่รายชื่อยังมีการเข้ารหัสจากทางแอปเปิ้ลอยู่ (ตามภาพ)
เดี๋ยวเราจะมาแปลงรหัสแอพพลิเคชั่นให้อยู่ในรูปแบบที่มนุษย์เข้าใจกัน โดยเข้าไปที่ Setting แล้วเลือก Application Name เลือก ON
จะเห็นได้ว่า iFile จะทำการแปลงรหัสจากทางแอปเปิ้ลให้เราสามารถอ่านเข้าใจได้แล้วหละครับ

 STEP 3: การจัดการไฟล์ เราสามารถดูรายละเอียดของไฟล์ได้ทั้งหมด เช่น ผมใช้ iFile เข้าไปในโฟลเดอร์ของ Youtube และเปิดดูได้เลย หรือจะทำรายการอื่นก็สามารถเลือกได้จากเมนู ครับ

 STEP 4: หรือจะเป็นการจัดการรูปภาพก็ยิ่งง่ายใหญ่เราสามารถเปิดดูรูปภาพได้โดยตรงจาก iFile ได้เลยหรือกระทั้งสั่ง Print และอัพไฟล์ขึ้น DropBox ก็สามารถทำได้ 

 STEP 5: การทำรายการกับไฟล์รูปภาพ หรือไฟล์อื่น เราก็สามารถทำการ Copy, Cut, Paste ย้ายโฟลเดอร์ได้ตามต้องการ

 STEP 6: การการดูรายละเอียดของไฟล์ก็สามารถดูได้เช่นกันเหมือน File Properties ในคอมพิวเตอร์เลยครับ

วิธีการติดตั้งไฟล์ .deb



 

  วิธีการติดตั้งไฟล์ .deb


 STEP 1: ก่อนเริ่มให้เราทำการเตรียมไฟล์ *.deb ไว้บนคอมพิวเตอร์ให้เรียบร้อยตัวอย่างเช่น MyWi-5.04.5-Cracked.deb จากนั้นไปที่ iPad และเปิด iFile ขึ้นมา (เชื่อมต่อ iPad และ Computer ให้อยู่ในวง Lan เดียวกันด้วย) และทำการกดปุ่มรูป Wi-Fi เพื่อเปิดใช้งาน Web Server (ตามภาพ)
จากนั้นหน้าจอ iPad จะบอกการเข้าถึง Web Server ของทาง iTAllNews.com จะเป็นhttp://192.168.22.101:10000

 STEP 2: เมื่อเปิดใช้งาน Web Server แล้วก็ไปที่ Computer และเปิด Web Browser ขึ้นมาพิพม์ไอพีที่ได้จาก iPad ลงไป จากนั้นให้นำไฟล์ .deb ที่เราเตรียมไว้ Upload File เข้าไปที่ /var/mobile เมื่อเลือกไฟล์เรียบร้อยแล้วก็กดปุ่ม Upload
ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์จะขึ้นว่า File successfully uploaded ก็หมายความว่าไฟล์ได้ถูกส่งเข้าไปใน iPad, iPhone เรียบร้อยแล้ว

 STEP 3: มาที่ iPad, iPhone ของเราดูใน iFile ใน /var/mobile จะเห็นว่ามีไฟล์.deb มาเรียบร้อยแล้วให้เรากดที่ชื่อไฟล์และเลือก installer
iFile ก็จะทำการติดตั้งไฟล์.deb ให้เรา ตามตัวอย่างจะเป็น MyWi-5.04.5-Cracked.deb เมื่อหน้าจอขึ้น Finishedให้กด Done แล้ว Reboot เครื่องหนึ่งครั้ง

 STEP 4: เมื่อทำการ Reboot iPad, iPhone ขึ้นมาแล้วก็จะพบกับแอปที่เราได้ติดตั้งผ่าน iFile แล้วหละครับ 

  เพียงเท่านี้เราก็สามารถติดตั้งไฟล์ .deb ที่ได้จากคอมพิวเตอร์โดยผ่าน iFile ได้แล้วหละครับ ไม่ต้องง้อ Cydia อีกต่อไปเนื่องจากบางครั้ง Cydia มีคนใช้งานเยอะทำให้เราเปิดใช้งานลำบาก หรือถึงขั้นเปิดไม่ได้เลยนั่นเอง 

วันจันทร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ทำ effect สายฟ้า

คราวนี้ลองมาทำ effect สายฟ้า ไว้สำหรับตกแต่งภาพกันค่ะ วิธีทำไม่ยากเลยค่ะ ลองทำตามดูได้เลยนะคะ
 

 
        1.  สร้าง New Document ขึ้นมา กำหนดขนาดตามต้องการนะคะ
 
 
 
          2.เลือกเครื่องมือ Gradient Tool คลิ๊กเม้าส์ซ้ายค้าง ลากจากด้านซ้ายไปด้านขวา
 
 
 
          3. เลือก Filter > Render > Clouds
 
 
 
        4.  เลือก Filter > Render > Difference Clouds
 
 
 
        จะได้ภาพออกมาเป็นเส้นของสายฟ้าประมาณนี้
 
 
 
        5. กด  Ctrl+I เพื่อ Invert สี ภาพจะออกมาสีขาวๆแบบนี้
 

 
 

 

      6.  กด Ctrl+L จะเป็นการปรับ Level ปรับตามค่าตัวอย่าง หรืออาจจะปรับตามความต้องการให้มืดหรือสว่างกว่านี้ก็ได้นะคะ



        จะได้ภาพออกมาประมาณนี้

 
       
         7.  สามารถเปลี่ยนสีได้โดยการกด Ctrl+ U แล้วปรับระดับสีได้ตามต้องการเลยค่ะ
 
 
 
         8. จะได้ภาพสายฟ้าสำหรับไปตกแต่งภาพอื่นๆแล้วค่ะ
 
 
 
         ภาพที่ตกแต่งโดย effect สายฟ้า ค่ะ
ดูรูปใหญ่ คลิกที่รูปนะคะ
           

สร้าง Logo Photoshop แบบเรืองแสง

สอน photoshop

เทคนิค photoshop ในครั้งนี้คือการสร้าง Logo Photoshop แบบเรืองแสง ซึ่งครั้งนี้ขั้นตอนในการทำนั้นค่อนข้างจะเยอะ ถ้าจะให้ดีควรศึกษาบทความอื่นๆในบล็อกนี้ให้ทั่วๆก่อนเพื่อที่จะได้มีความชำนาญในการใช้เครื่องมือใน Photoshop
ดังนั้นผมจะไม่อธิบายการทำงานของเครื่องมืออย่างละเอียดมากนัก แต่จะบอกขั้นตอนในการทำอย่างละเอียดเหมือนเคย


ขั้นตอนที่ 1 สร้าง Background สีดำแบบไล่ระดับก่อน
สร้างหน้ากระดาษขึ้นมา แล้วจากนั้นปรับ Foreground เป็นสีเทาดำ (#484848) และ Background เป็นสีดำ จากนั้นเลือก Gradient Tool และปรับค่าการไล่สีเป็นแบบวงกลม เมื่อตั้งค่าเสร็จแล้วให้ทำการไล่สีลงไปในหน้ากระดาษดังรูป

เทคนิค photoshop
Note: (#484848) เลขพวกนี้คือรหัสของสีครับ สามารถเซ็ตค่าตามเพื่อให้ได้สีเดียวกันกับที่ผมใช้


ขั้นตอนที่ 2 สร้างพื้นที่จะวางกล่อง Logo Photoshop
สร้าง Layer ขึ้นมาใหม่และใช้ Marquee Tool สร้าง Selection ลงไป และใช้ Gradient ไล่สีลงไปที่พื้นดังภาพ (Gradient ตั้งค่าเหมือนเดิม)

วิธีใช้ photoshop


ขั้นตอนที่ 3 เริ่มสร้างกล่อง Logo Photoshop ทีละด้าน
สร้าง Layer ขึ้นมาใหม่อีก ใช้ Marquee สร้าง Selection สี่เหลี่ยมจัตุรัส ใส่สีฟ้าลงไป (#0070cd)
graphic photoshop



ขั้นตอนที่ 4 ปรับ Perspective เพื่อให้กล่องดูมีมิติ
กด Ctrl+T จากนั้นกด Ctrl ค้างไว้และคลิกที่มุมขวาบนของสี่เหลี่ยมแล้วลากลงมา ด้านขวาล่างทำเช่นเดียวกันแต่ให้ลากขึ้น ส่วนด้านข้างให้ปล่อย Ctrl แล้วปรับขนาดย่อเข้ามาแบบปกติ
tutorial photoshop




ขั้นตอนที่ 5 เพิ่มแสงให้หน้ากล่อง
กด Ctrl ค้างและคลิกซ้ายที่ รูปใน Layer2 เพื่อ Load Selection จากนั้นใช้ Gradient ไล่สีแบบวงกลมจากมุมล่างซ้ายของ Selection ลักษณะที่ได้จะเป็นดังรูป (Foreground สีฟ้าสว่าง #0080c3 Background สีฟ้าเข้ม #004893)
แต่งรูป photoshop

 
ขั้นตอนที่ 6 สร้างหน้ากล่องด้านซ้าย
วิธีการคือกด Ctrl+J เพื่อ Copy Layer2 จากนั้นไปที่ Edit > Transform > Flip Horizontal แล้วใช้ Move Tool เลื่อน Layer ใหม่นี้มาทางซ้ายให้ขอบประกบกันดังรูป
แต่งภาพ photoshop




ขั้นตอนที่ 6 เพิ่มความทึบด้านในของหน้ากล่องด้านขวา Logo Photoshop
Add a layer Style โดยการคลิกตัว F ใต้หน้าต่าง Layer จากนั้นเลือก Satin ปรับค่า Opacity 10% Dintance 5 , Size 14 (การตั้งค่านี้ตั้งค่าใน Layer หน้ากล่องด้านขวา)
เรียน photoshop
 สอน photoshop


ขั้นตอนที่ 8 เพิ่มแสงให้หน้ากล่องด้านขวา
สร้าง Layer ขึ้นมาใหม่ปรับ Foreground เป็นสีขาว แล้วเลือก Gradient Tool ตั้งค่าการไล่สีจาก ขาว-โปร่งใส ลักษณะการไล่สีแบบวงกลม จากนั้นกด Ctrl ค้างและคลิกที่รูป Layer2 (หน้ากล่องด้านขวา) เพื่อ Load Selection จากนั้นทำการไล่สีจากซ้ายล่างของ Selection จะได้ลักษณะดังรูป

ลดค่า Opacity ของ Layer ลงเหลือ 20% จะได้ลักษณะดังรูป


ขั้นตอนที่ 9 ตัดขอบด้านล่างของ Layer ที่เป็นแสงทิ้ง
ใช้ Polygonal Lasso Tool สร้าง Selection ด้านล่างของกล่อง (ขณะนี้ทำงานอยู่ใน Layer3) แล้วกด Delete
Tip: ในการสร้าง Selection เพื่อลบ Layer แสงนี้ทิ้ง ควรคำนึงถึง Perspective ของรูปด้วย


ขั้นตอนที่ 9 เริ่มเพิ่มแสงเงากับกล่องด้านซ้าย
ให้ทำซ้ำตั้งแต่ ขั้นตอนที่ 6 โดยเปลี่ยนจากหน้ากล่องด้านขวามาทำหน้ากล่องด้านซ้ายแทน แต่ Layer แสงของหน้ากล่องด้านซ้ายค่า Opacity ควรเลือกประมาณ 10% เพื่อให้หน้ากล่องด้านซ้ายมีสีที่มืดกว่าหน้ากล่องด้านขวา
Tip: เราสามารถ Copy layer style โดยการคลิกขวาที่ Layer ที่ต้องการ แล้วเลือก Copy Layer Style และนำไป Paste ลงอีก Layer โดยการคลิกขวาและเลือก Paste Layer Style


ขั้นตอนที่ 9 ใส่ตัวอักษร PS ลงไปบนหน้ากล่องด้านขวา
ทำการพิมพ์ตัวอักษร PS ลงไปจากนั้นคลิกขวาที่ Layer ตัวอักษร PS และเลือก Rasterize Layer จากนั้นกด Ctrl+T และปรับ Perspective ให้กับตัวอักษรเหมือนกับการปรับขนาดหน้ากล่องของ ขั้นตอนที่ 4


ขั้นตอนที่ 10 สร้างเงาสะท้อนที่พื้นให้กับกล่อง Logo Photoshop
วิธีการคือให้เราเรียง Layer ตามรูปประกอบ
เรียงจากบนลงล่าง Layer ตัวอักษร (PS) >> Layer แสงของกล่องด้านขวา (Layer3) >> Layer หน้ากล่องด้านขวา (Layer2)
โดยเริ่มกด Ctrl+E จาก Layer ตัวอักษร และกด Ctrl+E อีกครั้งจะเป็นการรวมทั้ง 3 Layer เข้าด้วยกัน
(การกด Ctrl+E จะเป็นการรวม Layer ที่ทำงานอยู่กับ Layer ด้านล่าง)


เมื่อรวม Layer แล้วกด Ctrl+J เพื่อ Copy Layer จากนั้นไปที่ Edit > Transform > Flip Vertical เพื่อเป็นการกลับหัวจากบนลงล่าง และใช้ Move Tool เลื่อน Layer ลงมาดังรูป

จากนั้นไปที่ Edit > Transform > Skel และทำการปรับให้ขอบของเงาประจบกับขอบของกล่อง จากนั้นปรับค่า Opacity ของ Layer นี้ให้เหลือ 50%



ขั้นตอนที่ 11 เริ่มทำการสร้างเงาที่หน้ากล่องด้านซ้าย
วิธีการเหมือนกับกล่องด้านขวาทุกประการโดยเริ่มทำ ขั้นตอนที่ 10 อีกครั้ง


ขั้นตอนที่ 12 สร้างแสงกระทบลงไปที่พื้น และด้านหลังของกล่อง Logo Photoshop
ให้ทำการสร้าง Layer ใหม่โดยให้ตำแหน่งของ Layer ใหม่นี้อยู่บน Layer ที่เป็นพื้น จากนั้นใช้ Brush ขนาดใหญ่ๆ ผมเลือก 300 เลย (อย่าลืมปรับ Hardness เป็น 0) เลือกสี ฟ้าเข้ม (#196dad) จากนั้นกด Ctrl ค้างและคลิกที่ Layer พื้นของเราเพื่อ Load Selection จากนั้นระบายสีที่เลือกลงไปดังรูป


จากนั้นสร้าง Layer ใหม่อีกครั้งแต่คราวนี้ให้อยู่เหนือ Layer Background แล้วใช้ Brush อันเดิมระบายลงไปด้านหลังกล่อง และทำการปรับ Opacity 50% จะได้ลักษณะดังรูป


ขั้นตอนที่ 13 สร้างแสงพุ่งขึ้นไปด้านบนของกล่อง Logo Photoshop
คือทำมาถึงขั้นนี้แล้วผมก็เลยอยากทำแสงพุ่งขึ้นไปบนฟ้าเพื่อให้กล่องนี้ดูเรืองแสงมากๆ วิธีการคือ

สร้าง Layer ขึ้นมาใหม่และนำไปไว้ตำแหน่งใต้ Layer ของกล่องทั้งหมด จากนั้น Load Selection กล่องด้านขวา และเลือกเครื่องมือ Marquee Tool กดลูกศรขึ้นค้างไว้ เพื่อเป็นการเลื่อน Selection ดังรูป (ถ้าไม่เลือก Marquee Tool ไว้จะเลื่อน Selection ไม่ได้)

 ต่อไปลงสีฟ้าโทนมืดนิดๆ (#18649d) ลงไปใน Selection จากนั้นให้ใช้ Polygonal Lasso Tool สร้าง Selection ด้านบน ดังรูป

จากนั้นกด Ctrl+Alt+D แล้วปรับค่า Feather เป็น 15 และกด Delete 2 ครั้ง เพื่อให้ขอบด้านบนจางจะได้ลักษณะดังรูป

ให้ทำซ้ำขั้นตอนที่ 13 นี้อีกทีกับกล่องด้านซ้าย (ใกล้เสร็จแล้ว - -" สู้ๆ) จะได้ผลดังรูป



ขั้นตอนที่ 14 เพิ่มความเข้มของแสงที่มุมบนของกล่อง
ขั้นตอนนี้สำหรับใครที่มือไม่นิ่งต้องใช้ความพยายามนิดนึงนะครับ

ให้เราเลือกสีฟ้าโทนสว่าง (#54e0ff) จากนั้นใช้ Brush ขนาดเล็กๆ วาดไปที่มุมด้านบนทั้ง 3 ของกล่อง และใช้ยางลบช่วยลบเพื่อให้แสงนั้นมีลักษณะที่ดูแหลมพุ่งขึ้นแสงจะดูสวย


ขั้นตอนที่ 15 สร้างออร่าให้ภาพนี้เรืองแสง (Final Step)
ให้เลือกทำงานที่ Layer บนสุด จากนั้นเลือก Create new fill or adjustment layer > Curves
จากนั้นปรับค่า Curves ดังรูป
เราก็จะได้กล่อง Logo Photoshop เรืองแสงที่เราต้องการแล้วคร๊าบบบ


ผมไม่มีไรจะบ่นละ บทความนี้ยาวมากคนเขียนเหนื่อยแล้ว.. ไปละ


ที่มาของบทความ: http://ifreephotoshop.blogspot.com/2010/10/logo-photoshop.html#ixzz1uF2xJTvU
 
ผู้โพส
สาครินทร์ นุ้ยพ่วง